ทำความรู้จัก โรคฝีดาษลิง โรคที่มีอันตรายถึงชีวิต โรคนี้มีสาเหตุจากอะไร อันตรายแค่ไหน มาดูกัน !
โรคฝีดาษลิง มีสาเหตุจากอะไร อันตรายแค่ไหน ?
โรคฝีดาษลิง (Monkeypox) หรือโรคฝีดาษวานร ถูกค้นพบครั้งแรกในปีพ.ศ. 2501 จากลิงที่ป่วย ต่อมาในปีพ.ศ. 2513 ถูกพบการติดเชื้อในคนเป็นครั้งแรก อาการคล้ายกับไข้ทรพิษ แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า โรคนี้เคยหายไปอย่างยาวนาน จนกระทั่งในปัจจุบันโรคนี้ได้กลับมาอีกครั้ง จึงเหมือนเป็นโรคใหม่ที่น่าระวังอีกรอบหลังจากการเกิดโรคระบาดโควิค-19 ที่แพร่กระจายไปยังหลายประเทศทั่วโลก
ถึงแม้ว่าตอนนี้โรคฝีดาษลิงจะยังไม่แพร่ระบาดในไทย และยังมีอัตราการระบาดน้อยกว่าไวรัสโควิด-19 แต่เราก็ควรระมัดระวังตนเองไว้ก่อน (แบบไม่วิตกกังวลจนเกินไป) อีกทั้งยังเป็นโรคที่องค์การอนามัยโลกและกรมควบคุมโรคกำลังจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะตอนนี้ยังไม่มีวัคซีนหรือยารักษาที่ใช้เฉพาะกับโรคนี้ได้เลย มีเพียงแค่วัคซีนป้องกันโรคฝีดาษ ที่ช่วยป้องกันได้อยู่ประมาณ 85%
โรคฝีดาษลิง มีสาเหตุจากอะไร ?
การติดเชื้อไวรัส Monkeypox แบ่งออกเป็น 2 สาเหตุคือ
- จากสัตว์สู่คน ซึ่งเกิดจากการสัมผัสเลือด หรือสารคัดหลั่ง หรือตุ่มหนองของสัตว์โดยตรง หรือการที่ถูกสัตว์ที่มีเชื้อ Monkeypox กัดหรือขีดข่วน รวมถึงการทำอาหารจากเนื้อสัตว์ที่ปรุงสุกไม่เพียงพอ โดยเฉพาะจำพวกเนื้อสัตว์ป่า
- จากคนสู่คน เป็นการแพร่เชื้อที่เกิดจากการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วยผ่านทางสารคัดหลั่งหรือตุ่มหนองโดยตรง บางกรณีอาจเกิดขึ้นง่ายๆ จากระบบทางเดินหายใจทางปาก ทางตา หรือทางจมูก ผ่านละอองไอจาม การมีเพศสัมพันธ์ รอยแตกหรือแผลที่ผิวหนัง เป็นต้น และถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อย แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน
โรคฝีดาษลิง อันตรายแค่ไหน ?
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าโรคนี้มี 2 สายพันธุ์ด้วยกัน คือ สายพันธุ์ West African Clade มีอาการไม่รุนแรง อัตราการป่วยตายอยู่ที่ร้อยละ 1 เท่านั้น ส่วนสายพันธุ์ Central African Clade จะมีอาการรุนแรงกว่า ซึ่งอัตราการป่วยตายอยู่ที่ร้อยละ 10 โดยอาการของโรค Monkeypox จะคล้ายกับ โรคอีสุกอีใส สามารถหายเองได้ แต่ถ้าหากปล่อยให้อาการรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ พบว่าก็สามารถทำให้เสียชีวิตได้เช่นกัน
สำหรับอาการของโรคฝีดาษลิง ในระยะแรกจะเริ่มจากการมีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต จากนั้นประมาณ 1-2 วันจะมีผื่นขึ้นที่ตัว หน้า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และอาจมีแผลในปากร่วมด้วย ต่อมาในสัปดาห์ที่ 2-4 ผื่นบนร่างกายจะค่อยๆ เปลี่ยนจากผื่นนูนแดงเป็นตุ่มน้ำ แล้วกลายเป็นฝี จากนั้นตุ่มน้ำหนองจะแตก แห้ง และผู้ป่วยก็จะอาการดีขึ้น โดยระยะการแพร่กระจายเชื้อของโรคนี้จะอยู่ในตอนที่มีไข้ แต่เมื่อแผลแห้งแล้วก็จะไม่สามารถแพร่เชื้อได้แล้วนั่นเอง (แต่สิ่งที่ต้องระวังเมื่อป่วยเป็นโรคฝีดาษลิงคือ คนไข้บางรายที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ หรือมีโรคประจำตัว จะต้องระมัดระวังตัวเองเป็นพิเศษ เพราะอาจทำให้มีภาวะแทรกซ้อนจนเกิดอาการรุนแรงและทำให้เสียชีวิตได้)
วิธีสังเกตอาการของโรคฝีดาษลิง เริ่มแรกผู้ป่วยจะรู้สึกว่าตัวเองมีไข้ อ่อนเพลีย ปวดหัว ปวดเมื่อยตามร่างกาย หรือบางรายอาจมีอาการท้องเสีย อาเจียน เจ็บคอ ไอ หอบเหนื่อยร่วมด้วย โดยอาการเหล่านี้เป็นอาการเริ่มต้นที่จะปรากฏภายใน 7-14 วัน หลังจากรับเชื้อเข้าสู่ร่างกาย
การป้องกันโรคฝีดาษลิง
แม้โรคนี้จะเคยเกิดขึ้นบนโลกเมื่อนานมาแล้ว แต่ด้วยความที่ทางการแพทย์ยังไม่มีวัคซีนหรือตัวยาที่ใช้เฉพาะกับโรคฝีดาษลิงได้ ประชาชนอย่างเราจึงต้องเริ่มป้องกันที่ตัวเองก่อนเพื่อลดความเสี่ยงในเบื้องต้น โดยวิธีการป้องกันโรค Monkeypox คุณจะต้องหมั่นล้างมือด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ความเข้มข้น 70% ขึ้นไปหลังจากสัมผัสสัตว์เลี้ยงโดยตรง และทุกครั้งที่ออกไปยังพื้นที่เสี่ยง ควรสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้ง เลี่ยงการสัมผัสผู้ป่วยและสัตว์ที่เป็นพาหะของโรค และสำหรับใครที่ฉีดวัคซีนป้องกันไข้ทรพิษเข้าสู่ร่างกายเรียบร้อยแล้ว จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อไวรัสตัวนี้ได้
ประกันสุขภาพคุ้มครองไปถึงโรคฝีดาษลิงด้วยไหมนะ ? เป็นอีกคำถามยอดนิยมที่ผู้คนเริ่มสนใจกันในช่วงนี้ เพราะฉะนั้น Rabbit Care ขอตอบให้เลยว่า ‘คุ้มครอง’ โดยผู้ป่วยสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ แต่จะต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขของประกันสุขภาพที่เลือกทำเอาไว้
ถ้าหากใครกำลังสนใจทำประกันสุขภาพ แต่ยังไม่รู้ว่าควรเลือกประกันที่ให้การดูแลครอบคลุมแบบไหนดี สามารถศึกษาข้อมูลกับ Rabbit Care ก่อนได้นะ ! เรามีทั้งข้อมูลบนเว็บไซต์ที่ดูได้สะดวกสบาย และยังมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลตลอด 24 ชั่วโมง ให้คุณอุ่นใจเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย
ดูประกันสุขภาพที่เหมาะกับคุณได้ง่ายๆ คลิกเลย https://rabbitcare.com/